Pages

Monday, November 7, 2011

๑๓๘. สัญชาตญาณดิบ !!!



เมื่อยังเรียนอยู่ อาจารย์เคยสอนผมว่า ธรรมชาติของคนเราขับเคลื่อนด้วยพลังพื้นฐาน ๒ ประการ ประการแรกคือ ความก้าวร้าว (mortido) และประการที่สองคือ ความต้องการทางเพศ (libido); พลังพื้นฐานทั้ง ๒ ประการนี้เป็นหัวใจสำคัญของการมีชีวิตอยู่ ให้เราต่อสู้กับความโหดร้ายที่ผ่านเข้ามา และสืบทอดเผ่าพันธุ์ของเราต่อไปอีกนาน

ผมทราบต่อมาภายหลังว่า เรื่องนี้เป็นทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของนายแพทย์ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud : 1856 – 1939) ผู้ซึ่งเพื่อนๆ หลายคนของผมลงความเห็นว่า เขาหมกมุ่นในเรื่อง “อย่างว่า” มากจนเกินไป

ไม่ว่าฟรอยด์จะหมกมุ่นจริงหรือไม่ก็ตาม ทฤษฎีของเขาก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป แม้คนเราจะมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้โดยง่าย แต่นักจิตวิเคราะห์ยังสามารถประยุกต์ใช้ความรู้พื้นฐานของฟรอยด์ได้จนถึงปัจจุบัน

หลายทฤษฎีอาจปรับเปลี่ยนไปจากเดิม แต่คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีพัฒนาการต่อเนื่องมาจากความคิดของ ฟรอยด์

บางทีอาจไม่ใช่แค่ฟรอยด์หรอกที่หมกมุ่นในเรื่อง “อย่างว่า” แต่เป็นเรา – คนเรา – ทั้งหมดนี้แหละ แต่ไม่กล้าจะยอมรับกันเอง

...


นายแพทย์ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud : 1856 – 1939)
บิดาแห่งวิชาจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)

...

เวลาเกิดเหตุการณ์โกลาหล คนมักลืมนึกถึงเรื่องอื่นใดนอกเหนือไปจากความอยู่รอดของตนเอง อาจมีบ้างที่หมายรวมครอบครัวและคนรักเอาไว้ด้วย แต่ความต้องการนั้นไม่ใช่เพื่อต่อชีวิตของคนอื่นคนใด หากแต่เพื่อไม่ให้สูญเสียใครที่ตนเองต้องการ

สถานการณ์แบบนี้ เราคงเคยเห็นภาพยนตร์หลายเรื่องที่พระเอกช่วยเหลือนางเอกจนรอดพ้นจากภยันตราย ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมกลัวจะเสียคุณไป” เขาพูดทั้งน้ำตา ก่อนจะโผเข้ากอดด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง

ดูแล้วชักไม่ค่อยแน่ใจว่า ในความจริงแล้วพระเอก “กลัวว่าคุณจะเป็นอันตราย” หรือ “กลัวว่าจะเสียคุณไป” กันแน่ ผมอาจจะคิดมากจนเกินไปในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าคำพูด ๒ ประโยคนี้มีความหมายไม่เหมือนกัน

ประโยคแรกเน้นที่ตัวนางเอก กลัวว่านางเอกจะต้องบาดเจ็บหรือมีอันเป็นไป ห่วงใยชีวิตของนางเอกเป็นสำคัญ ในขณะที่ประโยคหลังไม่ได้ให้ความสำคัญกับใครเลยนอกจากตัวพระเอกเอง เหตุที่ช่วยเหลือนี้ไม่ได้กลัวว่าใครจะเป็นอันตรายหรอก ก็แค่ไม่อยากจะสูญเสียคนสำคัญในชีวิตของตนเองไปก็เท่านั้น

“...ถ้าขาดคุณไปแล้ว ผมจะอยู่อย่างไร ?” เขามักจะถามเธออย่างนี้เสมอ

...


...

ประวัติศาสตร์ชีวิตคนเราเริ่มต้นจากการยังชีพแบบเลื่อนลอย ค่ำไหนนอนนั่น ไม่มีถิ่นที่อยู่ที่แน่นอน ท่องเที่ยวไปตามดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อเห็นว่าดินแดนเดิมหมดประโยชน์แก่ตัวแล้วก็อพยพเคลื่อนย้ายไปสู่ดินแดนแห่งใหม่

แต่การเคลื่อนย้ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โลกนี้ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยภยันตรายนานัปการ ทั้งสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ และบรรดาสัตว์ร้ายที่เคยครองพื้นพิภพมาก่อนหน้าเรา ล้วนแต่คอยจ้องเขมือบเราอยู่ในทุกฝีก้าว

การจะเอาตัวรอดในวิถีชีวิตแบบนั้น คงไม่เปิดโอกาสให้คนคิดถึงเรื่องอื่นใดมากนัก นอกเสียจากปากท้องและชีวิตของตนเอง

วิถีชีวิตของคนในยุคดึกดำบรรพ์คงไม่ต่างกับสัตว์อื่นๆ ร่วมโลก; เรามีชีวิต รักษาชีวิตและสืบชีวิตเผ่าพันธุ์ของเราไปตามสัญชาตญาณ ต่อสู้ด้วยความก้าวร้าวและสัมพันธ์กันด้วยความต้องการทางเพศเหมือนอย่างที่ฟรอยด์บอกไว้

ต่อเมื่อรู้จักงานเกษตรกรรม เริ่มอยู่ติดที่ รวมกลุ่มกันเป็นครอบครัว ชุมชนและสังคม จึงเริ่มสร้างสรรค์วัฒนธรรมที่ซับซ้อน ถ่ายทอดผ่านภาษาให้ให้สมาชิกในสังคมได้เรียนรู้ร่วมกัน มีชีวิตที่เปี่ยมสุนทรียะมากกว่าแค่เต้นไปตามจังหวะสัญชาตญาณ

วัฒนธรรมไม่ได้ทำลายสัญชาตญาณ หากแต่เพียงบดบัง เก็บกดปิดกั้นสัญชาตญาณเอาไว้ ยามใดที่มีภัยมาประชิดตัว วัฒนธรรมจะคลายความเข้มขลังลงไป สัญชาตญาณที่ถูกกดทับจะปะทุกลับคืน; สัญชาตญาณแห่งชีวิต สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด สัญชาตญาณดิบปราศจากการปรุงแต่งที่ถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง

โดยเฉพาะเมื่อขาดสติ ขาดความรู้ตัวทั่วพร้อม

...


...

ฟรอยด์อาจพูดถูกว่า คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยพลังพื้นฐาน ๒ ประการนี้ แต่คงไม่ใช่พลังทั้งหมดที่พวกเรามี ยังมีพลังอีกหลายอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของเรา รอให้เราได้รู้จัก ค้นพบ และเรียนรู้ขัดเกลาให้ปรากฏชัดเจนขึ้นมา

หากเรามีชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเพียงเท่านั้น เรากับบรรพบุรุษในยุคดึกดำบรรพ์คงไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน และคงแยกไม่ออกจากสัตว์อื่นๆ ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีสิ่งที่แตกต่างไปมากมาย เรามีวัฒนธรรมที่ซับซ้อนละเมียดละไม ไม่ใช่แค่ความก้าวร้าวที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อสืบพันธุ์

ในที่นี้ ไม่ได้หมายความให้เราละทิ้งสัญชาตญาณไปแต่อย่างใด

แต่เมื่อรู้แล้วว่าเรามีความดีงาม มีความอ่อนโยนอยู่แล้วในตัวของเรา เหตุใดเราจะปล่อยให้ตัวตนเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณที่แข็งกร้าวเพียงอย่างเดียว เหตุใดเราจะไม่ฝึกฝนจิตใจของเราให้มีคุณค่ามากกว่านั้น

เพียงแค่มองดูรอบกาย มองให้เห็นสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากตัวตนของเรา รู้จักให้ความสำคัญกับคนอื่นบ้าง ก็เท่ากับว่าเราได้เปิดใจของเราให้กว้างขึ้น พร้อมจะเติมเต็มและเปิดเผยคุณค่าในตัวของเราเพื่อมอบให้กับคนอื่นๆ แล้ว

โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมาก จิตใจคนเราย่อมสมควรจะพัฒนาให้ก้าวหน้าควบคู่กันไป แม้เราไม่อาจละทิ้งสัญชาตญาณที่อยู่ในตัวเราไปได้ แต่เราตกแต่งมันได้ เราปรับปรุงให้เหมาะสมัย ขัดเกลาให้งดงามขึ้นได้ไม่ยาก

ขอเพียงแค่เราสนใจและพยายาม

...


บริเวณเชิงสะพานอรุณอมรินทร์ ฝั่งสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า
ระดับน้ำกลางถนนท่วมสูงถึงระดับอก ต้องสัญจรทางเรือเท่านั้น


...

ภัยพิบัติคือปัจจัยกระตุ้นให้คนแสดงสัญชาตญาณดิบที่มีอยู่ในตัว การแย่งชิงเพื่อความอยู่รอดและสืบพันธุ์จึงเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ภัยพิบัติก็เปิดโอกาสให้เราได้มองเห็นความโหดร้ายของสัญชาตญาณดิบ และย้ำเตือนให้สังคมได้กลับมาแก้ไขปัญหาด้วยวิถีทางที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นจากตัวของพวกเราทุกคนนี้เอง

เรียนรู้จากความเจ็บช้ำ นำมาเป็นบทเรียนเพื่อปรับเปลี่ยนและป้องกัน คือจุดมุ่งหมายสำคัญที่แท้จริงของชีวิต

...


...

ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

...

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ


No comments:

Post a Comment