Pages

Showing posts with label happy. Show all posts
Showing posts with label happy. Show all posts

Monday, January 2, 2012

๑๔๔. เวลา - พื้นที่ - วันปีใหม่ [ปีใหม่ ๒๕๕๕]



สวัสดีปีใหม่
ถึงจะผ่านปีใหม่เข้าสู่วันที่สองแล้ว แต่ยังพอเหลือบรรยากาศอยู่บ้าง
ตามห้างร้าน ตามบ้านเรือน ยังคงสนุกสนานกันต่อเนื่อง
ส่วนร้านค้าเล็กๆ ในเมือง ก็ยังปิดร้านกันเรียงรายเหมือนเดิม

ไม่แน่ใจว่าบรรยากาศปีใหม่จะยังคงต่อเนื่องไปอีกกี่วัน
อาจจะเพียงแค่วันสองวัน พอผ่านพ้นปีแล้วก็จบกันไป
อาจจะต่อเนื่องยาวนาน ตราบเท่าที่ราชการยังหยุดชดเชย
หรือบางที จะปีใหม่หรือปีเก่า ก็ไม่เคยต่างไปจากเดิม

...



ปีใหม่เป็นหมุดหมายสำคัญของชีวิต เป็นวันเปลี่ยนปฏิทิน
เป็นรูปธรรม ให้เราเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา
วันเวลาเคลื่อนผ่านเราไปทุกวัน โดยที่เราไม่เคยตระหนักถึงความสำคัญ
ต่อเมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีใครสักคนมาสะกิดบอกกับเรา ว่า "ปีใหม่แล้วนะ"
เราจึงรู้ตัว เร่งจัดการชีวิตของเราให้ทันสิ้นปี
เพื่อที่ว่า จะได้มีเวลาสังสรรค์กันตามความเคยชิน

ในที่สุด วันเวลาอันแสนสุขก็ผ่านพ้นไปพร้อมกับงานรื่นเริงสังสรรค์
เมื่อสร่าง ปีใหม่ก็กลายเป็นปีเก่า ทุกอย่างวนกลับเข้าสู่จุดเดิมอีกครั้ง

"...เราไม่ค่อยสนใจวันเวลาที่ผ่านเลยไป เพราะเรามองไม่เห็นมัน
ต่อเมื่อเราต้องการมัน เราจึงเริ่มค้นหา แล้วก็พบว่าได้สูญเสียมันไปแล้ว..."

ปีใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรามองเห็น
หากเรามองให้ลึกเข้าไปในความเปลี่ยนแปลงนั้น
เราจะมองเห็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของความไม่หยุดนิ่ง
ธรรมชาติของการสับเปลี่ยนแทนที่ "ใหม่" เข้าแทน "เก่า" ต่อเนื่องกันไป

ปีใหม่จึงเป็นส่วนหนึ่งของอนุกรมเวลา วินาทีหนึ่งสู่วินาทีหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ปีใหม่จึงเกิดขึ้นอยู่ทุกอนุขณะที่ผ่านเลยไป
เพียงแค่เรามองเห็นและใส่ใจ ทุกวินาทีก็เป็นปีใหม่สำหรับเรา

...



ช่วงปีใหม่เป็นวาระแห่งการเปลี่ยนแปลง
หลายคนถือเอาปีใหม่เป็นวันแห่งการปฏิญาณตน เอาฤกษ์เอาชัย
หลายคนใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง
แม้ว่าหัวใจของใครบางคนยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ปีเก่า กับ ปีใหม่ อาจแยกขาดจากกัน, ในความคิดของคนทั่วไป,
ก็อาจจะจริง เพราะตัวเลขวันที่ ปี พ.ศ. แตกต่างกันชัดเจน
แต่การมองอย่างนั้นทำให้เวลากลายเป็นจุดที่คงที่ตายตัว
เรามองข้ามความต่อเนื่องของเวลา ความสืบเนื่องของเรื่องราวรอบตัว
กลายเป็นความโดดเดี่ยว ท่ามกลางกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง

"...อดีตไม่ใช่แค่สิ่งที่ผ่านพ้นไป หรือจบแล้วจบกันไป
แต่อดีตได้สืบเนื่องมาเป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบัน
เช่นเดียวกันกับปัจจุบัน ที่กำลังเคลื่อนที่สืบเนื่องไปสู่อนาคต..."

การมองจุดเวลาแบบแยกขาด ตายตัว
ทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นเหตุเป็นผลของเรื่องราว การกระทำ
ทั้งที่ความเป็นจริง ทุกอย่างเชื่อมโยงกันไปทั้งหมด

ความรู้สึกโดดเดี่ยวภายในใจ ก็เกิดขึ้นด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน
เรามองตัวเราเป็นเอกเทศ แยกขาดจากสังคมส่วนรวม
มองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราและคนอื่นๆ ที่อยู่รายล้อม
เราจึงเหลือตัวคนเดียว ทั้งที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายรอบตัว

เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มี "พื้นที่" ที่เป็นของเราอยู่แล้ว
ถ้าเรามอง "พื้นที่" ของเราแบบแยกขาด เหมือนกับจุดเวลา
"พื้นที่" ของเราย่อมโดดเดี่ยว แปลกแยก ไม่เกี่ยวข้องกับใคร
แต่หากเรามองเห็นปฏิสัมพันธ์ของ "พื้นที่" ของเราต่อสังคม อย่างที่มันเป็น
คำว่าโดดเดี่ยวจะไม่หลงเหลือในพจนานุกรมแห่งความรู้สึกของเราอีกต่อไป

...



ยามเย็น ณ เชิงสะพานอรุณอมรินทร์


...

"พื้นที่" และ "เวลา" เกี่ยวเนื่องกันเสมอ
อย่างที่ฝรั่งชอบอ้างถึง "space-time" ในวิชาฟิสิกส์ และในศาสตร์ทางสังคม
ถ้าเรามองเวลาเป็นจุดที่ตายตัว พื้นที่ของมันก็คงที่และโดดเดี่ยว
แต่หากเรามองเวลาเป็นความต่อเนื่อง พื้นที่ย่อมเกิดปฏิสัมพันธ์

"พื้นที่" และ "เวลา" จึงเปลี่ยนแปลงไปตามมุมมองของเรา
ไม่ใช่เพราะมันไม่คงที่ แต่เพราะเราเลือกที่จะรับรู้มันในแบบของเราเอง

ใจคนเรามีแนวโน้มที่จะแยกตัวเองออกจากสังคม
เพราะมองไม่เห็น หรือมองข้าม "พื้นที่" ของตนเองในสังคมนั้นๆ
ทำนองเดียวกับที่มองข้ามความสำคัญของ "เวลา"
แต่เมื่อธรรมชาติของใจเรียกร้องหา "พื้นที่" อยู่ตลอดเวลา
ความขัดแย้ง ความแปลกแยก จึงปะทุขึ้นกลางใจนั้นเอง

"...ทั้งที่ทุกคนมีพื้นที่ของตนอยู่แล้ว แต่มองไม่เห็นคุณค่าของมัน
กลับเรียกร้องหาพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปนอกตัว ไม่เคยพอ
แล้วชีวิตจะก้าวพ้นความโหยหา อ้างว้าง เป็นตัวของตัวเองได้อย่างไร..."

กลับมามองพื้นที่ของตัวเราเองบ้าง มองให้เห็นคุณค่าของมัน
ให้ความสำคัญกับเราในแบบที่เป็นตัวของเราเอง ไม่ใช่เป็นแบบใคร
โลกใบนี้ สังคมนี้ มีที่ยืนเพียงพอสำหรับทุกๆ คนอยู่แล้ว
ขอเพียงแต่เราไม่ทำร้าย หรือ "กินพื้นที่" ของใครคนอื่น เท่านั้นเอง

อย่าทำร้ายตัวเอง ด้วยความคิดว่า "เราไม่มีที่ยืน"
จริงๆ แล้วเรามี เพียงแต่ยังมองไม่เห็นมัน

...



เล็กนั้นงาม


...


ช่วงเวลาปีใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับหลายๆ อย่าง
สิ่งหนึ่งควรเริ่มต้น คือ การฝึกฝนมุมมอง
ลด ละ เลิก มุมมองที่ทำร้ายตัวของเรา ทำร้ายใจของเรา
กลับมาให้ความสำคัญกับใจของเราบ้าง อย่างที่ควรจะเป็น

ขอบคุณ "เวลา" ที่สอนบทเรียนที่มีคุณค่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
ขอบคุณ "พื้นที่" รอบกาย ที่ช่วยให้มองเห็นความสำคัญตัวตน
ขอบคุณ "ปีใหม่" ที่เปิดโอกาสให้คิดอะไรฟุ้งซ่านกับใจของตัวเอง

"...ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีงามสำหรับทุกคน..."

...



"...Are you OK ?", Teddy said.
ของขวัญปีใหม่ จาก อ. พญ.จิรภา เจตน์สว่าง

...

"...ร่วมกันทำให้ทุกๆ นาทีให้มีคุณค่าสำหรับเรา
แล้วก้าวผ่านเรื่องราวและความรู้สึกร้ายๆ ไปพร้อมกัน..."

...

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ


Sunday, December 25, 2011

๑๔๓. เหงาใจในลมหนาว [คริสต์มาส ๒๕๕๔]



เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ผ่านมาพร้อมกับสายลมแผ่วเบา
พัดพาเอาความหนาวและความเหงามาพร้อมกัน
ใครบางคนยังคงหนาวเหมือนอย่างทุกปีที่ผ่านมา

ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง กลางใจเมือง
ต่างพร้อมใจกันตกแต่งพื้นที่ ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่
เปิดโอกาสให้ใครต่อใครได้เดินปลดปล่อยอารมณ์
ถ่ายรูป ดื่มกิน พูดคุยหยอกล้อกันสนุกสนาน
เพื่อว่าความสุขนั้นจะช่วยผ่อนคลายความหนาวลงไปบ้าง

ชั่วขณะที่เดินผ่านต้นไม้ประดับไฟ ประกายแสงสีงามระยับ
คล้ายๆ ว่าความเหน็บหนาวนั้นจะกลับอบอุ่นขึ้นมา
ความเหงาก็ดูจะเลือนหายไปกับเสียงระฆังที่ดังอยู่ไกลๆ
เรื่องราวขุ่นข้องภายในใจ เหมือนจะจบไปในวินาทีนั้น

"...สำหรับบางคน มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์
แต่อีกหลายคน เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
พอเดินออกจากสถานที่แห่งนั้น ยังไม่ทันข้ามคืน
ทุกอย่างกลับเป็นเพียงภาพฝันที่ผ่านมาแล้วผ่านเลยไป..."

หนาว เหงา อบอุ่น ครื้นเครง - เพียงแค่วาบความรู้สึก
หมุนวนเวียนไปมาซ้ำๆ ไม่มีอะไรใหม่เลย

...



...

ลมหนาวมาพร้อมกับความเหงา, เป็นอย่างนี้เสมอ,
หนาว เมื่อไม่มีใครคอยห่มกาย, เหงา เมื่อไม่มีใครคอยห่มใจ
เมื่อลมหนาวพัดผ่านมาในเวลาที่ไม่ใคร
ทั้งหนาวกายและหนาวใจก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

เป็นความหนาวที่เกินกว่าใครจะทนไหว
เว้นแต่จะไร้หัวใจที่จะรับรู้มัน

เทศกาลลมหนาว เหมือนเป็นสัญลักษณ์ที่ตอกย้ำความรู้สึก
ให้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง หมุนเปลี่ยนเวียนวน
ถ้าฤดูที่ผ่านไป ย้ำเตือนให้เรารู้ว่าโลกนี้ยังคงเคลื่อนไหว
ความรู้สึกภายในใจ ก็คอยเตือนให้รู้ว่าเรายังมีลมหายใจ

ถ้าโลกยังคงหมุนผ่านที่เดิมซ้ำๆ ทุกปี
ก็เป็นธรรมดาที่ใจจะรู้สึกซ้ำๆ กันได้ทุกปีเช่นกัน
เปล่าประโยชน์ที่จะปิดกั้น ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง
แต่จะเป็นประโยชน์เหลือเกิน หากเรามองเห็นความรู้สึกของตัวเองได้
ค่อยเรียนรู้ความรู้สึกของตัวเอง เข้าใจหัวใจของตัวเอง

"...อารมณ์ที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะหนาว อบอุ่น เหงาหรือครื้นเครง
ทุกครั้งที่เรามองเห็น ย่อมเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้
เรียนรู้ที่จะเข้าใจ ต้อนรับมันได้อย่างมั่นคง
ไม่ใช่เพียงปล่อยให้มันผ่านเข้ามา ทำร้ายเราให้เจ็บ
แล้วเลื่อนลอยหายไป เหลือไว้เพียงรอยร้าวในความทรงจำ..."

...



...

เทศกาลลมหนาว หลายคนบ่นว่าหนาวกายและหนาวใจ
ไม่มีใครเคียงข้าง คอยดูแลเอาใจใส่
ราวกับว่า โลกใบนี้มีตัวเองอยู่เพียงคนเดียว

"...อันที่จริงแล้ว ไม่มีใครเลยที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง
ไม่มีใครถูกปล่อยทิ้งร้างในโลกที่โหดร้ายเพียงลำพัง
ความคิดต่างหาก ความคิดของเรานั้นเองที่ทอดทิ้งเรา
ความคิดของเรานั่นแหละ ที่ทำให้เราอ้างว้าง เดียวดาย..."

ลองมองไปรอบตัวเราบ้าง
จะมองเห็นใครอีกมากมาย เดินผ่านมา แล้วผ่านไป
เขาอาจจะไม่รู้จักเรา และเราก็ไม่รู้จักเขา
แต่การที่เรามองเห็นเขา แสดงว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว
เราไม่เคยอยู่เพียงลำพังเลยสักครั้ง, นี่คือความจริง

ในขณะที่ใจของเราเหน็บหนาว ขุ่นมัว
เรามองเห็นคนอื่นมีความสุข เราก็อิจฉา โกรธเคือง
คิดว่าคนบนฟ้าจ้องจับผิด จ้องทำร้ายแต่เราเพียงคนเดียว
เรามองไม่เห็นว่า ระหว่างเรื่องร้ายกับเรื่องดี เราผ่านมันมาแล้วทั้งนั้น
เพียงแต่เรื่องดีอาจไม่สะเทือนใจ ไม่มีคุณค่าพอให้เราจดจำ
ไม่เหมือนเรื่องร้ายที่ภาวนาไม่ให้เกิด กลับเกิดขึ้นได้ไม่เว้นวัน

เรามองคนอื่นเพียงด้านเดียว ด้านที่เราอยากจะมอง
เราจึงเห็นคนอื่นมีความสุข และมีคนคอยดูแลเอาใจ
ในขณะที่ตัวเรากลับเป็นคนโชคร้าย มีแต่ทุกข์ และเดียวดาย
เรามองไม่เห็นคนอื่นๆ ที่คอยดูแลเรา เพราะเราไม่เคยคิดจะมอง

ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดเท่านั้นเอง

...



...

อย่าว่าแต่คนที่อยู่คนเดียวเลย
แม้จะมีคนคอยเคียงข้างกาย คอยดูแลเอาใจ
ก็ยังหนาวและเหงาได้ไม่แพ้กัน

คนที่คอยดูแล คงทำได้เพียงแค่ห่มกายให้คลายหนาว
หรืออย่างมากก็คอยดูแลใจไม่ให้หนาวจนเกินไป
แต่คนที่จะช่วยให้คลายหนาวจริงๆ นั้น ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
คือใจของเราเองนี่แหละ 

ไม่มีใครเข้าใจเราได้ดีเท่าตัวเรา
จึงไม่มีใครจะดูแลใจ ห่มใจของเราได้ดีเท่าใจของเราเอง
คนอื่นทำได้ก็เพียงแค่สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาต้องการ
หรืออาจยอมตามความปรารถนาของเราในบางครั้ง
แต่คงไม่หวังหรอกว่า เขาจะยอมตามเราทุกครั้งไป

ฤดูหนาวปีที่แล้ว เขาคอยห่มกายของเรา
ฤดูหนาวปีนี้ เขาคอยห่มใจของเราทั้งใจ
ฤดูหนาวปีหน้าล่ะ เขาจะยังห่มกายและใจของเราเหมือนเดิม
หรือจะเปลี่ยนไปห่มกายและใจของใครอีกคน ?

หรือแม้เขายังคอยเคียงข้างเราอย่างเดิม
แต่เราจะยังอบอุ่นเหมือนอย่างเดิมหรือเปล่า, ไม่รู้เลย

"...ผ้าห่มผืมเดิม อาจไม่อบอุ่นอย่างที่คุ้นเคย
ใครคนเดิม อาจไม่สุขเหมือนอย่างที่เคยผ่านมา
ไม่ว่าใครจะเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนไป
สิ่งสำคัญคือใจต่างหาก ที่กำลังเปลี่ยนแปลง..."

...



...

ความหนาว และความเหงา มักมาพร้อมกันเสมอ
เพื่อที่จะย้ำเตือนให้เรารู้ว่า โลกยังคงเคลื่อนไหว
และเรายังคงหายใจเหมือนอย่างเดิมทุกๆ ปี

เรายังคงมีหัวใจ มีอารมณ์ มีความรู้สึก
และมีกำลังมากพอที่จะเรียนรู้จากความรู้สึกนั้น

ความเปลี่ยนแปลง เจ็บปวด บอบช้ำ
ความอ่อนไหว เหนื่อยล้า อ้างว้างเดียวดาย
ล้วนแต่เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเรา ให้เราได้คุ้นเคย เข้าใจ
เป็นภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ที่ดีสำหรับเราในทุกๆ ครั้งไป

ฤดูกาลที่หมุนเปลี่ยน เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมดา
เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา วนเวียนอยู่รอบกายเรา
ก็เป็นเพียงเรื่องราวที่ปราศจากความหมายในตัวของมันเอง
ความคิดของเราต่างหาก ที่คอยตีความ คอยให้ความหมายกับมัน
ความคิดของเรานี้เอง ที่พร่ำเพ้อไปกับนิยามที่เราสร้างมันขึ้นมา

"...จะหนาวหรือไม่ จะเหงาสักเพียงไร ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นรอบกาย
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในใจ เพิ่มขึ้นหรือลดน้อยลงตามใจของเรา
เรานั้นเองเป็นคนกำหนด ว่าเราจะหนาว จะเหงา จะอ้างว้าง
หรือจะอบอุ่น อิ่มเอม สำราญใจ, เราเลือกได้เองทั้งนั้น..."

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว, เราเลือกที่จะเป็นอย่างไร

...


แมวน้อย 
ณ สวนแมว เชิงสะพานอรุณอัมรินทร์

...

การห่มใจอาจต้องการ "ใครสักคน" มาช่วยห่ม 
แต่ "ใครสักคน" ที่พูดถึงนั้นไม่จำเป็นต้องเป็น "ใครคนอื่น" สักหน่อย 
คนอื่นๆ หรือแม้แต่คนรักของเราอาจช่วยห่มใจเราได้ก็จริง 
แต่ใจจะหายหนาวหรือไม่นั้นอยู่ที่เรารู้จักห่มใจของเราเองต่างหาก

"...ต่อให้มีคนคอยดูแลเอาใจใส่เรามากเพียงไร 
แต่ถ้าเราไม่เคยคิดจะดูแลเอาใจใส่ใจของเราเอง 
ไม่เคยคิดจะห่มใจของเราเองแล้ว ใจจะหายหนาวได้อย่างไร..."

...

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ



Monday, November 14, 2011

๑๓๙. ให้เราได้ดูแลใจของเราเอง



ผมเพิ่งจะเปิดบล็อกใหม่ ชื่อ Anatomy for Siriraj Medical Students สำหรับรวบรวมสรุป Anatomy ที่ผมใช้ทบทวนให้กับน้องๆ นักศึกษาแพทย์ เก็บไว้ให้เป็นหมวดหมู่ หลังจากที่โพสต์ลงใน facebook เรื่อยมาตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม

แม้โดยอาชีพแล้วผมจะทำงานในสายวิชาการ แต่การเขียนงานที่เป็นวิชาการล้วนๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายผมเสมอมา ยิ่งเมื่อต้องเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเนื้อหาวิชาการที่หนักอึ้งกับการเรียนรู้ของเด็กวัยรุ่นตอนปลายที่เพิ่งจะผ่านชั้นมัธยมปลายมาไม่กี่ปี ความท้าทายก็ยิ่งเพิ่มดีกรีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เด็กก็คือเด็ก, เราทุกคนเข้าใจความรู้สึกนี้ดี, แม้จะผ่านวัยรุ่นมาจนโตพอจะรับผิดชอบตัวเองได้บ้าง แต่การต้องพบเจออะไรที่หนักหนาเกินไปอย่างฉับพลัน ก็ใช่ว่าทุกคนจะรับได้ทันเสมอไป ยังมีอะไรอีกมากมายที่พวกเขาต้องค่อยๆ ปรับตัวและเรียนรู้กันไป

จริงอยู่ว่า อุปสรรคคือเครื่องมือฝึกฝนให้พวกเขา – และพวกเรา – แข็งแกร่งมากขึ้น และการเอาชนะอุปสรรคได้ก็หมายความว่าชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่เพียงแค่การเอาชนะอุปสรรคได้นั้นยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีมุมมองที่ดีต่ออุปสรรคนั้นด้วย จึงจะเอาชนะมันได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อผมคือคนกลาง มีอะไรที่ผมพอช่วยเหลือได้บ้างก็ช่วยเหลือกันไป การช่วยเหลือนี้ไม่ใช่ว่าจะไปทำให้อุปสรรคมีความท้าทายน้อยลง ถ้าทำอย่างนั้นเด็กๆ คงไม่ได้พัฒนาตัวเอง ซ้ำร้ายยังเป็นการดูถูกพวกเขาจนเกินไป หน้าที่ของผมเพียงแต่ช่วยให้พวกเขามีมุมมองที่ดีต่ออุปสรรคและกล้าเผชิญมันด้วยความสามารถทั้งหมดที่เขามี

ให้พวกเขารู้สึกว่า การต่อสู้นั้นเกิดจากเสียงเรียกร้องภายในใจของพวกเขาเอง ไม่ใช่ว่าใครมาบังคับกะเกณฑ์ให้พวกเขาทำ

----------


ต้นฉบับบทความเรื่องนี้ เขียนด้วยดินสอบนกระดาษ A5
ผมมีโน้ตบุ๊คเป็นของตัวเองแล้ว แต่บ่อยครั้งที่ผมร่างต้นฉบับด้วยวิธีง่ายๆ
มันไม่ได้สื่ออะไรมากไปกว่า "ความพอใจ" ของผมล้วนๆ

----------

คงไม่ใช่เฉพาะเด็กๆ หรอกครับ ผู้ใหญ่เราก็เหมือนกัน

ผมเชื่อว่า การทำตามเสียงหัวใจเรียกร้องเป็นสิ่งสำคัญ ตราบเท่าที่มันจะทำให้เรามีความสุขความพอใจในปัจจุบัน และไม่ทำร้ายอนาคตของตัวเราเอง

การอยู่กับเด็กๆ สอนให้ผมตระหนักว่า หลายครั้งที่ผมเลือกทำตามใจตนเองเหมือนอย่างเด็กๆ เพียงเพราะใจอยากจะทำ มันท้าทาย มันน่าสนุก มันน่าสนใจ – แล้วก็ลงมือทำ มีทั้งที่ทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง หลายอย่างก็ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดหรือไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร แต่ผมไม่ได้คาดหวังความสำเร็จขนาดนั้น ผมไม่ได้หวังจะเป็นเลิศอะไรมากมาย ผมก็แค่อยากทำ

หลายคนคงคุ้นเคยกับการทำกิจกรรมบางอย่างที่อาจจะไม่ได้ช่วยให้เราประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิต, ตามนิยามของความสำเร็จในสังคมสมัยใหม่, แต่เราทำแล้วเราพอใจ เรามีความสุข มันอาจจะทำให้เราเสียเวลาไปบ้าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ให้เราเก็บมาคุยโวให้ใครต่อใครฟังได้อยู่เรื่อยๆ

บางที, ความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่มุ่งมองแต่ชื่อเสียง เงินตรา และอำนาจ ก็อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับเราทุกคน มันอาจมีประโยชน์ในแง่ที่ช่วยให้ชีวิตของเราไม่แร้นแค้นจนเกินไป แต่การต่อสู้ดิ้นรนอยู่บนความทุกข์เพียงเพื่อให้ประสบความสำเร็จอย่างนั้นคงไม่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มันอาจจะมีคุณค่าน้อยกว่าการทำตามสิ่งที่ใจเราเรียกร้องก็เป็นได้

ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่ใจเรียกร้องเป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องไปทั้งหมด เราคงต้องคำนึงถึงจริยธรรมและบรรทัดฐานของสังคมไปพร้อมกัน ถ้าความพอใจนั้นเป็นประโยชน์แก่เราแต่กลับเป็นผลเสียต่อผู้อื่นแล้ว คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกระทำ และโทษของมันจะย้อนกลับมาบั่นทอนจิตใจของเราเอง แต่หากมันไม่ได้ทำร้ายใคร – ทั้งคนอื่นและตัวเรา – ก็ทำไปเถอะ

ปล่อยให้ใจได้ตามใจตัวเองบ้าง เราอาจจะมองเห็นโลกในมุมมองที่งดงามมากขึ้นก็เป็นได้

----------



----------

สังคมทุกวันนี้มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับมากมาย หลายอย่างเป็นสำนึกร่วม เป็นวาทกรรมครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเรา สังคมกำลังมีอิทธิพลเหนือใจเรามากขึ้นทุกที มากเสียจนเราหลงเชื่อว่า ความคาดหวังและความสำเร็จของสังคมมีค่ามากกว่าความสุขของใจเราเอง

ผมไม่ได้พยายามสร้างลัทธิปัจเจกชนนิยม (Individualism) ที่เรียกร้องให้ทุกคนทำตามใจตัวเองโดยไม่สนใจผลกระทบต่อคนรอบข้าง นั่นเป็นความเข้าใจผิดที่อันตรายอย่างยิ่ง ผมยังเชื่อว่าคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและจะแยกจากกันไปไม่ได้ เพียงแต่ผมเห็นว่าเราควรย้อนกลับมาทบทวนความต้องการที่แท้จริงของเราเองบ้าง ดูแลหัวใจของเราเองบ้างก่อนจะสายเกินไป ก็เท่านั้นเอง

เวลาและแรงบีบคั้นจากสังคมทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปได้มาก เราเชื่อมั่นว่าภาระงานและการทำตามความคาดหวังของสังคมจะช่วยให้เรามีความสุข แต่นั่นทำให้เราเดินบนทางที่สุดโต่งจนเกินไป ทุ่มเทมากจนเกินไป เราเผลอคิดไปว่าสังคมจะให้คำตอบกับเราทุกอย่าง แต่คำตอบสุดท้ายที่เราได้รับคือ “เราคิดผิด”

หลังจากบ้างานอยู่พักใหญ่, จนรุ่นน้องคนหนึ่งเตือนผมให้รู้สติ, ผมกลับมาถามตัวเองว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมได้คำตอบ ผมเริ่มจัดตารางชีวิตตัวเองใหม่ ผมลดภาระงานที่เกินความจำเป็นลงไป ผมสอนในเวลาที่พอเหมาะ ซึ่งทำให้ตัวผมและคนเรียนพอใจ ผมแบ่งเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ผมเคยทำและอยากทำ ซึ่งมันทำให้เวลาของผมมีคุณค่าเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกมาก

ไม่ใช่ว่างานของผมไร้ความสุข ตรงกันข้าม, ผมรักงานสอนและพร้อมจะทำงานนี้เสมอ แต่ถ้ามันจะเป็นเพียงการโชว์ความสามารถเพื่อให้ได้ก้าวหน้าและโดดเด่น แต่กลับทำร้ายตัวผมเองและอาจทำร้ายคนอื่นไปโดยไม่รู้ตัว ผมจะทนทำต่อไปได้อย่างไร

----------



----------

นอกจากงานสอนแล้ว งานเขียน แต่งกลอน วาดภาพ ออกกำลังกาย ตลอดจนกิจกรรมเบ็ดเตล็ดอีกหลายอย่าง คือสิ่งที่หัวใจของผม – และของใครอีกหลายคน – เรียกร้อง ผมมีเวลาคลุกคลีอยู่กับมันมาเกือบตลอดชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย แม้ว่างานส่วนใหญ่จะเป็นงานเบื้องหลัง ทำแล้วไม่โดดเด่น ไม่มีใครรู้จัก แต่คงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ผมจะต้องแคร์

ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่เราจะทำอะไรโดยคาดหวังถึงความโดดเด่น มีชื่อเสียง หรือเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่จนเกินตัว การคาดหวังมากเกินไปอย่างนั้นทำให้เราเป็นทุกข์ ทุกข์จากแรงกดดัน ทุกข์จากความล้มเหลว หรือแม้สำเร็จไม่ถึงเป้าหมายก็ยังเป็นทุกข์อีกเหมือนกัน

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราทำในสิ่งที่เราอยากทำ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อหัวใจของเราเรียกร้อง ไม่ต้องรอให้สำเร็จเป็นผลงานอัศจรรย์ใดๆ เลย เพียงแค่ลงมือทำก็มีความสุขแล้ว ยิ่งหากเป็นงานที่ “ใช่” จริงๆ ให้ทำไปอีกนานเพียงไรก็ไม่เบื่อ

นอกจากชื่อเสียง เงินตรา และอำนาจแล้ว ยังมีความสำเร็จอื่นๆ อีกมากมายที่เปิดโอกาสให้เราได้ไขว่คว้ามาไว้กับตัวโดยไม่เบียดเบียนใคร เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จกระแสหลักในสังคม เป็นเพียงความสุขๆ เล็กที่สัมผัสได้ในใจของเราเอง

อยู่ที่ว่า “เรา” พร้อมจะทำมันหรือยัง

----------



----------

"...แบ่งเวลาดูแลหัวใจบ้าง ถามตัวเองว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ ไม่ต้องถึงขั้นละทิ้งงานทั้งหมดของเราหรอก แค่พักพอให้หัวใจได้ผ่อนคลายลมหายใจบ้าง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว..."

----------

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ