ช่วงเวลาเกือบเดือนที่ว่างเว้นจากงานสอน เพราะคณะฯ ปิดเรียนให้อาจารย์และนักศึกษาลี้ภัยธรรมชาติ สำหรับตัวผมเองนั้นนอกเหนือจากงานรักษาและงานเบ็ดเตล็ดที่ทำอยู่เป็นประจำแล้ว ยังมีเวลาเหลือพอให้นั่งดูหนังและการ์ตูนเอนิเมชันได้อย่างสบายใจ ขอบคุณช่วงเวลานี้ที่ทำให้รู้สึกราวกับว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง อาจจะเหงาใจอยู่บ้างก็ตรงที่ไม่มีนักศึกษาให้ “กินหัว” เหมือนอย่างเคย
ในบรรดาการ์ตูนทั้งหมดนั้น เรื่องที่โดนใจผมที่สุด, และก็เป็นเรื่องเดียวในใจตลอดมา, คือ โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่
ดูเหมือนว่า โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผู้สร้างจะหยิบเอาเรื่องราวจากต้นฉบับเดิมเมื่อหลายสิบปีก่อนกลับมาปิดฝุ่นสร้างใหม่ โดยปรับภาพให้สวยงามสมจริงมากขึ้น ทั้งยังดัดแปลงเนื้อเรื่องบางตอนให้แตกต่างไปจากเดิม เพื่อความเหมาะสมกับยุคสมัย เช่น โนบิตะและเพื่อนๆ ตอนนี้ขึ้นชั้น ป.๕ กันหมดแล้ว หลังจากเรียนอยู่ชั้น ป.๔ มานาน
ถึงแม้โดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ฉบับใหม่จะแตกต่างไปจากต้นฉบับเดิมอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือ เรื่องราวที่แฝงด้วยความกล้าหาญ ความรักและมิตรภาพที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดในตัวละคร เร้าอารมณ์ให้รู้สึก “อิน” จนน้ำตาไหลไม่รู้ตัว
เหนือสิ่งอื่นใด, การ์ตูนเรื่องนี้ไม่เคยขาด “ความฝัน” และ “จินตนาการ” เลยสักครั้ง
----------
ความฝันกับความจริง อยู่คู่กันเสมอ
----------
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับการ์ตูนเรื่องโดราเอมอนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคนในช่วงอายุใดก็ตาม ผมเองก็ไม่ต่างกันครับ จะบอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้อยู่กับผมมาเกือบทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ โดราเอมอนเป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่คุณแม่ซื้อให้ตั้งแต่เมื่อผมยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล ท่านอยากให้ผมหัดอ่านหนังสือเสียบ้าง จะได้ “เรียนหนังสือ” สักที ดีกว่าเที่ยววิ่งเล่นไปวันๆ
ท่านบอกว่าการอ่านการ์ตูนจะช่วยให้เรียนรู้การใช้ภาษาได้ดี เพราะการ์ตูนมีภาพประกอบเกือบทุกคำพูด ช่วยให้เด็กเข้าใจสีหน้าท่าทางของตัวละคร ตลอดจนเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับคำพูดเหล่านั้น แต่มีข้อแม้ว่าต้องเลือกการ์ตูนที่เหมาะสมกับวัย และใช้ภาษาได้ถูกต้องพอสมควร
ประโยชน์ข้อนี้แตกต่างจากหนังสือนิทานภาพทั่วไปที่มักจะมีข้อความยืดยาว มีภาพประกอบเพียงไม่กี่ภาพ แม้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งด้านทักษะภาษาและคุณธรรมจริยธรรม แต่เด็กอาจจะนึกภาพไม่ออกว่าตัวละครแสดงอารมณ์อย่างไรบ้างในขณะที่พูด เว้นเสียแต่จะมีคนช่วยทำท่าทางประกอบหรือคอยอธิบายให้เห็นภาพอีกที
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าหนังสือนิทานภาพจะไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด อันที่จริงแล้วหนังสือสำหรับเด็กทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่อาจจะเหมาะสมกับพัฒนาการในวัยที่แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง
อีกประการหนึ่ง, ที่เรียกกันว่าหนังสือการ์ตูนสำหรับเด็กนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเราจะอ่านกันไม่ได้ หรืออ่านแล้วจะกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตก็คงไม่ใช่ เพียงแต่บอกให้รู้ว่าอ่านกันได้ไม่จำกัดวัย ในบางคราวที่เราไม่สบายใจ เผลอลืมตัวตนของเราไปชั่วขณะ การได้กลับไปอ่านการ์ตูนเก่าๆ แล้วนึกถึงความรู้สึกในวัยเด็กที่ยังมีความฝันและจินตนาการ ก็ทำให้เราเข้าใจตัวเราเองในตอนนี้ได้ดีไม่น้อย
เราจะมองเห็นว่าในวันนั้นเราคิดอะไร เราเดินมาถึงวันนี้ได้อย่างไร และในวันข้างหน้าเราจะเดินต่อไปอย่างไรดี
----------
----------
บทเพลงต้นเรื่องโดราเอมอน เดอะ มูฟวี่ฉบับใหม่ ตั้งคำถามกับพวกเราทุกคนว่า "...เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เธอจะลืมมันไปไหมนะ, ณ เวลานั้นลองนึกมันขึ้นมาดูสิ - ในหัวใจของฉันนั้น มีความฝันที่เปล่งประกายตลอดเวลา..."
วันเวลาและเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมักจะเข้มงวดกับพวกเราเสมอ คอยสอนให้เราเข้มแข็ง สอนให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี แต่พร้อมกันนั้นก็ทำให้เราหลงลืมความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีในวัยเด็กไป จนท้ายที่สุดในวันที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีตัวตนอยู่ในสังคมจริงๆ แล้ว เราก็ไม่หลงเหลือความเป็นเด็กอีกต่อไป
คนส่วนใหญ่มักเป็นอย่างนั้น เราจึงพบเห็นผู้ใหญ่หลายคนที่จริงจังกับชีวิตราวกับแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่าของตนเอง หรือผู้ใหญ่ที่คอยเต้นไปตามจังหวะสังคม ตามแต่โลกจะชี้นำให้พวกเขาเดินไปในทิศทางใด โดยที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร และคงไม่มีวันรู้ได้เลย
พวกเขาลืมความตั้งใจ ลืมความฝันและจินตนาการของตนเองไปเสียแล้ว พวกเขาปฏิเสธมันเพียงเพราะไม่ต้องการให้คนรอบข้างดูถูกว่าเป็นเด็กที่ไร้ประสบการณ์ อย่าคาดหวังจุดมุ่งหมายในชีวิตจากพวกเขาเลย เขาไม่หลงเหลือตัวของตัวเองอีกแล้ว เขามีชีวิตอยู่เพียงเพื่อทำตามความต้องการของสังคมในฐานะผู้ใหญ่ที่ดีและเพียบพร้อม สมควรแก่การยกย่องนับถือ
พวกเขาลืมได้แม้กระทั่งวัยเด็กของตนเอง
ผมไม่ได้ต้องการให้ทุกคนจมอยู่กับอดีตจนกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต การทำอย่างนั้นมีแต่จะทำร้ายตัวเองเท่านั้น เราทุกคนย่อมเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ตามวันเวลาที่หมุนผ่านไปเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่โดราเอมอนชวนให้เราขบคิดคือ เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมกับยังคงเก็บความฝันและจินตนาการเอาไว้กับตัว ไม่ปล่อยให้หล่นหายไปตามทาง
“...เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เธอจะลืมมันไปไหมนะ...”, เราคงต้องถามตัวเองอย่างนี้เสมอ
----------
"...เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เธอจะลืมมันไปไหมนะ..."
----------
สังคมสมัยใหม่สอนให้เราเชื่อตามกันมาว่า ความฝันและจินตนาการเป็นสิ่งสะท้อนความเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต อ่อนด้อยประสบการณ์ ถ้าอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแล้วควรลืมมันไปเสีย ให้ทำราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่จริงในชีวิตของเรา
ทั้งๆ ที่เราทุกคนเคยผ่านชีวิตในวัยเด็กกันมาแล้วทั้งนั้น, จะช้านานเพียงไรก็สุดแต่ตัวเลขอายุของแต่ละคน, คงไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า ด้วยความฝันและจินตนาการนี้เองที่ผลักดันให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้
ไม่ใช่เพราะความฝันที่ว่า "โตขึ้น ฉันอยากเป็น..." หรอกหรือ ที่เป็นกำลังใจให้เราก้าวผ่านเรื่องราวร้ายๆ จนมายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้
เมื่อความฝันและจินตนาการเป็นเสมือนแรงขับดันในจิตใจของเรา เราจะละทิ้งมันไปได้อย่างไร เราแข็งแกร่งมากพอที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากกำลังใจใดๆ อย่างนั้นหรือ – เป็นไปไม่ได้เลย, เราทำไม่ได้หรอก, หากเรายังรักที่จะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ขายวิญญาณให้กับใครไปเสียก่อน
ความฝันและจินตนาการเป็นพื้นฐานจิตใจของเด็กก็จริง แต่มันไม่ได้สะท้อนความเป็นเด็กไม่รู้จักโตอย่างที่เราเชื่อกัน ในทางตรงกันข้าม มันคือสิ่งสำคัญในใจของพวกเราทุกคน เป็นแรงขับดันให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยตัวของเราเอง และทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้
หากเราละทิ้งมันไปแล้ว ไม่แน่ว่าเราอาจจะหลงทางอยู่ในวังวนแห่งความจริงที่โหดร้ายอย่างไร้จุดหมาย ไร้แรงต่อสู้ และไม่สามารถกลับออกมาได้อีกเลย
----------
----------
"...ในเวลาที่เราเหนื่อยล้ากับโลกแห่งความจริง อ่อนไหวกับวันเวลาที่แข็งกร้าว หมดเรี่ยวแรงจะเดินต่อไป ลองนั่งพักหน่อยดีไหม ผ่อนคลายลมหายใจเบาๆ แล้วนึกย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เราเคยฝันไว้ว่าอย่างไร เราเคยจินตนาการถึงตัวเราเองในตอนนี้ไว้ว่าอย่างไร สิ่งใดกันที่ผลักดันให้เราเดินตามความฝันนั้นมาได้จนถึงวันนี้..."
เมื่อรู้แล้วขอให้เก็บมันไว้กับใจ เก็บไว้เป็นต้นทุนให้เราก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ผมเชื่อว่า โดราเอมอนคงอยากจะบอกกับพวกเราอย่างนี้เหมือนกัน
----------
เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ
อ่านแล้วก็พึ่งรู้สึกตัวครับ ขอบคุณนะครับ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
ReplyDelete