Pages

Showing posts with label flood. Show all posts
Showing posts with label flood. Show all posts

Monday, December 12, 2011

๑๔๒. โลกคู่ขนาน




ระดับน้ำในกรุงเทพฯ ลดลงไปมากแล้ว พร้อมๆ กับลมหนาวที่เริ่มพัดผ่านเข้ามา แม่น้ำเจ้าพระยาที่เคยโกรธเกรี้ยวต่อสรรพสิ่งก็กลับสงบนิ่งลงไป แล้วลอยไหลอย่างเอื่อยช้างดงาม ราวกับไม่เคยมีเรื่องราวร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน

มหาอุทกภัยในกรุงเทพฯ เพิ่งจะผ่านพ้นไป หลายพื้นที่กลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว แต่ใช่ว่าสายน้ำจะเพียงแค่พัดผ่านมาแล้วไหลผ่านเลยไปเพียงเท่านั้น มหาอุทกภัยคราวนี้ได้มอบบทเรียนสำคัญให้เราได้เรียนรู้ ทบทวน และทำความเข้าใจไปอีกนาน

บทเรียนที่ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขปัญหาหรือวางมาตรการป้องกันการเกิดน้ำท่วมซ้ำ หากแต่เป็นบทเรียนที่ก้าวพ้นปัญหาทางกายภาพทั่วไป เป็นบทเรียนที่ต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อจะนำพาทุกๆ คนให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ไปได้ด้วยดี

ถ้าเรื่องที่เราจะคุยกันในคราวนี้หมายถึงการแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่มุ่งมองแต่เฉพาะปัญหาทางกายภาพเหมือนอย่างที่นักวิชาการทั้งหลายพูดคุยกันมามากแล้ว ก็คงจะช้าเกินไปที่จะพูดถึงมันในวันที่น้ำแห้ง แต่ถ้าหากว่าเรื่องมันไม่ใช่แค่นี้ เราคงมีอะไรให้พูดคุยกันอีกยาว และพูดคุยกันได้นานไม่รู้เบื่อ

พูดคุยในเรื่องที่ไม่ใช่วิชาการบ้าง ก็ดูจะมีอะไรที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

----------


----------

ในช่วง ๕ – ๖ ปีทีผ่านมา สังคมรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากทีเดียว เครือข่ายบนโลกออนไลน์ก้าวไกลและเข้าถึงผู้คนในวงกว้างกว่าที่เคยเป็นมา ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ สิ่งนี้เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้โลกทั้งโลกเชื่อมโยงถึงกันได้ ในขณะเดียวกันก็ทำให้โลกทั้งโลกแตกหักกันได้ง่ายๆ เช่นกัน

จำนวนคนในสังคมออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ความเห็นที่แตกต่างกันย่อมเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากเดิมที่เคยเก็บเอาไว้ในใจ หรืออาจจะไม่ได้ใส่ใจกับมันจริงจัง แต่เมื่อโลกออนไลน์มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นกันอย่างเต็มที่ ขาดการประนีประนอม เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันจนบานปลายใหญ่โต

ไม่ใช่ว่าเสรีภาพในโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่ผิด, ตรงกันข้าม เสรีภาพเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยเสรีภาพที่ตนมี ผู้คนพึงเข้าใจบทบาทและรู้จักรับผิดชอบต่อเสรีภาพของตนไปพร้อมกัน

เสรีภาพ หมายถึง ความสามารถที่จะกระทำการใดก็ได้ภายใต้กฎหมายและศีลธรรม โดยไม่ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น; ปัญหาอยู่ตรงที่คนทั่วไปมักให้ความสำคัญกับนิยามในส่วนต้น แต่ไม่สนใจหรือจงใจละเลยนิยามในส่วนปลาย เสรีภาพในความหมายของหลายๆ คนจึงกลายเป็นการทำตามใจตนเองโดยปราศจากข้อผูกมัด และจะเป็นเรื่องที่ยอมความกันไม่ได้ทีเดียวหากใครมีความเห็นขัดขวางการกระทำนั้นๆ

เพราะยึดถือ “เสรีภาพ” ตามนิยามอย่างหลังนี้เอง เราจึงพบเห็นข้อความของผู้คนในสังคมออนไลน์ในแบบที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอ เป็นข้อความที่ยึดถือตาม “หลักกู” มากกว่า “หลักการ” เพราะ “กูมีสิทธิ มีเสรีภาพ” และ “บ้านเมืองนี้เป็นประชาธิปไตย” แต่ไม่เคยสนใจว่าศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน

แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อความเห็นของคนส่วนใหญ่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายได้ตามใจต้องการ

----------



----------

โลกออนไลน์แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง หลายคนมีบุคลิกอย่างหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง แต่เมื่อเข้าสู่โลกออนไลน์กลับมีบุคลิกต่างกันแบบพลิกฝ่ามือ ราวกับเป็นคนละคน หรือเป็นคนที่อยู่คนละโลกกัน

อาจเป็นไปได้ว่ามันไม่เคยเป็นโลกเดียวกันมาตั้งแต่ต้น

อิสรเสรีในโลกออนไลน์เปิดโอกาสให้ใครต่อใครแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ไม่จำกัด และดูเหมือนว่าไม่มีใครคาดหวังที่จะรับผิดชอบต่อความเห็นนั้นๆ เมื่อโพสต์จบแล้วก็จบกันไป  เว้นเสียแต่ความเห็นนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ตน หรือจะเก็บความเห็นของคนอื่นไว้ทำร้ายกัน

สงครามข่าวสารบนโลกออนไลน์ในช่วงมหาอุทกภัยที่ผ่านมา คือตัวอย่างที่ยืนยันความจริงข้อนี้ได้ดี ทันทีที่เกิดความปั่นป่วนขึ้นในสังคม คนกลุ่มหนึ่งได้ฉวยโอกาสเวลาที่ผู้คนกำลังสับสน เที่ยวสร้างความร้าวฉานขึ้นด้วยความเห็นที่ “ไร้ที่มา” แต่ “มีที่ไป” ที่ชัดเจน นั่นคือ โจมตีฝ่ายที่มีความเห็น “คัดค้าน”  และเลยเถิดไปถึงผู้ที่มีความเห็น “ต่าง” ไปจากตน

โลกออนไลน์ที่เชื่อกันว่ามีเสรีภาพอย่างไร้ขีดจำกัด จึงกลับขีดกรอบจำกัดตัวของมันเอง

หลายๆ ความเห็นที่เราอ่านแล้วถูกใจ ก็เพียงแต่กด “like” และขอ “share” กันเรื่อยไป โดยมิทันได้ฉุกคิดเลยว่าความเห็นนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ มีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงไร ขอเพียงแต่ถูกใจก็ถึงไหนถึงกัน

หารู้ไม่ว่า ที่มาของความเห็นนั้นอาจเป็นการตัดต่อ ใส่ร้าย จงใจกลั่นแกล้งกันก็เป็นได้

----------




----------

การติดต่อกับโลกออนไลน์กระทำผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ สัมผัสนิ้วผ่านคีย์บอร์ด จึงเป็นเรื่องง่ายและคล้ายจะเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ซึ่งก็คงเป็นเช่นนั้นหากเครือข่ายของเราวนเวียนอยู่ภายในห้องส่วนตัว แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ตัวอักษรของเราก้าวพ้นกำแพงห้องไปปรากฏต่อสายตาผู้คนอีกนับร้อยนับพัน ไกลเกินกว่าที่เราต้องการ

ความน่ากลัวของโลกออนไลน์อยู่ตรงนี้เอง ความเป็นสาธารณะของมันถูกเคลือบฉาบไว้ด้วยบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ด้วยความรู้สึกเฉพาะของเราจริงๆ ทำให้เรากล้าที่จะเปิดเผยความคิดเห็นต่างๆ ทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมออกมาอย่างไม่กระดากอาย ซึ่งหลายครั้งก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ มารู้ตัวว่าพลาดก็เมื่อสายไปเสียแล้ว

เพราะเหตุนี้ ผลกระทบจากมหาอุทกภัยครั้งที่ผ่านมาจึงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะความเสื่อมโทรมทางกายภาพ หรือเพียงแค่ความสูญเสียในทรัพย์สินของบุคคลใด แต่กินวงกว้างถึงความบอบช้ำในใจของใครอีกหลายคนผ่านโลกส่วนตัวจำลอง โลกส่วนตัวที่เปิดเผยและเชื่อมโยงการรับรู้ของทุกคนเข้าไว้ด้วยกัน

หากเราไม่ตระหนักถึงความเป็นสาธารณะของโลกออนไลน์ ไม่เข้าใจนิยามความหมายของเสรีภาพโดยแท้จริง สักแต่แสดงความเห็นกันไปเรื่อยตามความลุ่มหลงของตนเอง ถือเอา “หลักกู” มาก่อน “หลักการ” ตีขลุม “ประชาธิปไตย” ว่าหมายถึง “เสียงส่วนใหญ่” แต่เพียงเท่านั้นแล้ว สังคมของเราก็อยู่ไม่ไกลคำว่า “วิบัติ” เลย

อย่ากระนั้นเลย แม้แต่คณิตศาสตร์ซึ่งมีหลักเกณฑ์แน่นอนชัดเจน ยังมีผู้เสนอให้เปลี่ยนคำตอบ “ตามความเห็นของคนส่วนใหญ่” มาแล้ว

แล้วเราจะอยู่ในสังคมอย่างนั้นได้นานสักเพียงไรกัน

----------



---------

น้ำที่ท่วมก็ลดลงไปแล้ว สิ่งก่อสร้างที่เสื่อมโทรมก็ทยอยได้รับการบูรณะให้กลับคืนดีดังเดิม แล้วเหตุไรกันเราจึงปล่อยใจของเราให้ลอยตามน้ำไป ไม่บูรณะจิตใจของเราให้กลับมาดีดังเดิมบ้าง 

"...แทนที่จะปล่อยให้ทุกอย่างล่องลอยร่วงโรยไปตามยถากรรม สู้เราใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์จะดีกว่าไหม; เก็บเอาข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่หลากหลายนั้นมาพิจารณาเฟ้นหาข้อเท็จจริง เลือกสรรข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสมร่วมกัน แล้วช่วยกันเผยแพร่ในสิ่งที่ถูกที่ควร อาจจะยากอยู่บ้างในเบื้องต้น แต่ย่อมคุ้มค่าที่จะลงมือทำ..."

ด้วยความร่วมมือร่วมใจเช่นนี้เอง ในที่สุดแล้วเราจะผ่านพ้นมหาอุทกภัยครั้งนี้ไปได้อย่างแท้จริง

----------


----------

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ


Monday, October 24, 2011

๑๓๖. เราจะก้าวไปด้วยกัน



ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ปริมาณน้ำที่ไหลบ่าลงมาจากทางเหนือรวมตัวกับน้ำฝนที่ตกกระหน่ำซ้ำเติมอยู่ทุกวัน พร้อมใจกันหนุนให้ระดับน้ำในกรุงเทพฯ เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ พื้นที่ส่วนหนึ่งจมอยู่ใต้บาดาล บางแห่งตกอยู่ในวงล้อม และอีกหลายแห่งที่เฝ้าคอยปาฏิหาริย์ เพราะระดับน้ำพร้อมจะเอ่อท้นแนวกระสอบทรายเข้ามาได้ทุกเมื่อ จนหลายครอบครัวต้องเร่งอพยพกันจ้าละหวั่น

ใช่ว่าคนกรุงเทพฯ จะไม่เคยรู้จักน้ำท่วม ตรงข้ามกลับคุ้นเคยกับมันดี แต่การที่ “มวลน้ำมหาศาล” เคลื่อนที่ลงมารวดเร็วเช่นนี้ ไม่ว่าจะคุ้นเคยสักเพียงไรก็คงเตรียมตัวตั้งรับกันไม่ทัน ยิ่งถ้าการส่งข่าวติดขัดสับสนด้วยแล้วก็เป็นอันจบ

เมื่อไม่ทันระวังตัว เตรียมตัวรับมือกับมวลน้ำครั้งนี้ไม่ทัน – ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม - ความสูญเสียเล็กน้อยที่เคยคาดการณ์เอาไว้ จึงกลับเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อมูลข่าวสารและการเตรียมตัวถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เฉพาะแต่กับเรื่องน้ำท่วมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงภัยพิบัติอื่นๆ หรือแม้แต่ความเดือดร้อนภายในใจของเราเอง หากเราหมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอ พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและหาทางตั้งรับเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ผลจากภัยพิบัติเหล่านั้นย่อมบรรเทาเบาบางลงไปได้พอสมควร

แต่มีข้อแม้ว่า ข่าวสารนั้นต้องถูกต้อง และเราต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา

...



ระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อท้นเข้ามาในรั้วโรงพยาบาลศิริราช
ในขณะที่นักเรียนแพทย์ และประชาชนผู้มีจิตอาสา
ช่วยกันต่อเติมแนวรั้วกั้นน้ำให้สูงขึ้น
 ภาพโดย Natpakorn Gik Pothong

...

ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่าง ซึ่งกลายเป็นข้อขัดแย้งทางความคิดและการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนหนึ่งดึงเหตุอุทกภัยในครั้งนี้มาเป็นเครื่องมือ เร่งเร้าความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพียงเพื่อหวังจะบรรลุความต้องการทางการเมืองของตน

ภาพความล้มเหลวในการทำงานของฝ่ายหนึ่งถูกส่งต่อพร้อมกับถ้อยคำรุนแรง ในขณะที่อีกฝ่ายก็โต้กลับด้วยความเกี้ยวกราดไม่แพ้กัน พื้นที่เครือข่ายสังคม (social network) ได้กลายสภาพเป็นสนามประลองความคิด หรือสนามวาทกรรม (discursive field) โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การช่วงชิงอำนาจนำ (hagemony) ทางการเมืองเหนือการรับรู้ของประชาชน

ตลอดระยะเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นการต่อสู้เหล่านี้กระจายอยู่ทั่วไป – ไม่นับปรากฏการณ์ปลาไหล – ผ่านการส่งต่ออย่างมีสติบ้าง ไร้สติบ้าง อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง ตามมาด้วยวิวาทะอันเกรี้ยวกราดเผ็ดร้อน ซึ่งต่างฝ่ายต่างประโคมความผิดเข้าใส่กัน

ที่ร้ายกว่านั้น คือ จงใจใส่ความกันด้วยภาพและข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

ไม่ใช่ว่าทุกฝ่ายที่ทำงานจะถูกต้องไปเสียหมด ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อรู้ว่าผิด มีคนแนะนำอย่างไรก็นำกลับไปพิจารณาปรับปรุงให้ดีขึ้น ทุกอย่างย่อมคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่หากทำในทางกลับกัน หรือมัวแต่ให้ร้ายกันอยู่อย่างนี้ก็มีแต่จะพากันจมน้ำเท่านั้นเอง

...


นักเรียนแพทย์ศิริราช ร่วมกันบรรจุถุงหิน/ถุงปูน 
เพื่อนำไปสร้างแนวรั้วกั้นน้ำรอบโรงพยาบาลศิริราช
ภาพโดย Natpakorn Gik Pothong
(สารภาพว่าเมื่อเห็นภาพนี้ และได้อยู่ในบรรยากาศนี้ ผมน้ำตาซึมทุกครั้ง)

...

โลกและสังคมอาจเคลื่อนที่เร็วจนเกินไป จิตใจของคนถูกออกแบบมาให้เรียนรู้เรื่องราวรอบตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เชื่องช้าแต่ซึมลึก ครั้นเมื่อสิ่งต่างๆ กลับเปลี่ยนแปลงไปเร็วไวเช่นนี้ จิตใจย่อมตามไม่ทัน จึงแสดงตนเหมือนคนที่เหนื่อยล้า และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะวิ่งตามให้ทัน ไม่ว่าด้วยกลวิธีใดก็ตาม

อำนาจก็เช่นกัน เติบโตไปพร้อมกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง ความหอมหวานของอำนาจทางการเมืองนั้นยั่วยวนใจเกินกว่าพันธะทางศีลธรรม คนกลุ่มหนึ่งจึงพร้อมจะทำทุกวิถีทาง ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเลว เพียงเพื่อจะกุมอำนาจทางการเมือง

ผมคงอ่อนด้อยต่อโลกใบนี้จนเกินไป จึงไม่เคยเข้าใจความปรารถนาเหล่านั้น บางทีพวกเขาอาจเห็นว่าเรายังเจ็บช้ำกันไม่พอ ยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดี อยากจะฝึกฝนให้เราอดทนต่อการแบ่งแยกแบ่งสี มีขันติธรรมต่อความความผิดและความขัดแย้งในสังคมกระมัง

ภูมิคุ้มกันนั้นสำคัญเมื่อมีสิ่งชั่วร้าย อย่างในคนเราก็มีภูมิคุ้มกันเพื่อคอยทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย แต่นั่นเป็นเพราะการขยายพันธุ์ของเชื้อโรคอยู่เหนือการควบคุมของเรา เราจึงทำได้แค่เพียงตั้งรับ แต่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นไม่เหมือนกัน สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ล้วนแต่คนในสังคมเป็นผู้สร้าง ผู้ที่จะหยุดความชั่วร้ายได้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น คือตัวคนในสังคมนั้นเอง

หากความชั่วร้ายยังคงอยู่ เราคงต้องยอมเจ็บช้ำมหาศาลเพียงเพื่อจะสร้างภูมิคุ้มกันอันน้อยนิด และอาจต้องคอยกระตุ้นซ้ำอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันยังคงอยู่ แต่หากเรากำจัดเหตุแห่งความชั่วร้ายไปเสียได้ จะต้องกระตุ้นภูมิคุ้มกันไปด้วยเหตุใด

...


ประชาชนผู้มีจิตอาสา รวมตัวกัน ณ ลานพระรูปฯ โดยไม่แบ่งแยกแบ่งสี
เพื่อร่วมกันสร้างแนวรั้วกั้นน้ำรอบโรงพยาบาลศิริราช
ภาพโดย Pinit Asavanuchit

...

เพียงแค่น้ำท่วม คนไทยก็เจ็บช้ำมากพออยู่แล้ว อย่าได้ดึงเอาเหตุแห่งความทุกข์มาซ้ำเติมกันด้วยความขัดแย้งอีกเลย ขอให้ถือเอาความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นแทนบทเรียนให้เรียนรู้ที่จะสมานสามัคคี ร่วมมือกันต่อสู้แก้ไขปัญหา น่าจะเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ดีกว่าต่างฝ่ายต่างคอยจับผิดกัน แต่กลับไม่มีฝ่ายใดทำประโยชน์อะไรได้เลย

ความร่วมมือไม่ใช่ความพ่ายแพ้ ตรงกันข้ามกลับเป็นการเอาชนะความหวาดกลัวที่อยู่ภายในจิตใจของเราอย่างแท้จริง เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน ได้มองเห็นโลกที่กว้างใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

บางทีเราอาจจะพบว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นแท้จริงแล้วมีอะไรเลย เป็นเพียงแค่มายาคติที่เราคิดกันไปเองทั้งนั้น

...


ชาวต่างชาติพร้อมใจ เราคนไทยต้องช่วยกัน
ณ โรงพยาบาลศิริราช
ภาพโดย Pinit Asavanuchit

...

ขอบคุณ ภาพประกอบจากเฟซบุ๊คของน้องกิ๊ก และเพจ sirirajpr

...

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ


Sunday, October 9, 2011

๑๓๔. น้ำท่วมที่กลางใจ



น้ำท่วมหนัก

ผู้คนแตกตื่น กลัวว่าน้ำจะทะลักเข้าท่วมบ้าน ต่างพากันกว้านซื้อข้าวของกักตุนไว้ยามฉุกเฉิน ร้านค้าหลายแห่งขายอาหาร ขนมขบเคี้ยวและของจำเป็นอื่นๆ จนหมดเกลี้ยง บางคนถึงกับยื้อแย่งกันเพื่อเป็นเจ้าของมาม่าเพียงห่อเดียว

ภัยพิบัติเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่มีใครอยากให้เกิด และไม่มีใครอยากจบชีวิตลงด้วยภัยพิบัตินั้น ทุกคนจึงดิ้นรนเพื่อ "ชีวิตของตนเอง" จนบ่อยครั้งกลับหลงลืมไปว่า นอกจากตัวเราเองแล้ว ยังมี "ชีวิตของคนอื่น" ที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน และประสบความทุกข์เช่นเดียวกับเรา

ชีวิตตัวใครตัวมัน ทำให้สังคมคับแคบเกินกว่าจะอยู่ร่วมกันได้ เปรียบเสมือนห้องใหญ่ที่ถูกกั้นฝา ลดขนาดให้เล็กลงกว่าเดิม จนอาศัยอยู่ได้เพียงคนเดียว ห้องนั้นจึงอึดอัดและโดดเดี่ยว ขยับตัวก็ไม่ได้ จะหาคนคุยด้วยก็ไม่มี ท้ายที่สุดก็เฉาตายอยู่ในห้องเล็กๆ นั้นเอง

แต่แปลก, ทั้งที่รู้กันอย่างนี้แล้ว เพราะอะไรหลายคนจึงพยายามกั้นฝากั้นห้องกันอีก ?

...


...

ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเอ่อท่วมทั้งท่าพระจันทร์ ท่าช้าง และท่าอื่นๆ โดยรอบ ไม่เว้นแม้แต่ท่าวังหลังซึ่งอยู่สูงกว่า จนตลาดวังหลังกลายเป็นตลาดน้ำไปเสียแล้ว

แม้ว่าระดับน้ำจะสูงมากกว่าทุกปี แต่ดูเหมือนว่าจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำเหนือที่ไหลบ่า จากพายุที่โหมกระหน่ำ และจากฝนที่ตกซ้ำๆ ไม่เว้นแต่ละวัน

เมื่อต้นเหตุของน้ำ คือ พายุฝน ยังไม่อ่อนกำลังลง แต่กลับโถมกระหน่ำอยู่ซ้ำๆ จะคาดหวังให้น้ำที่ล้นทะลักนั้นลดน้อยลงคงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเมื่อมีเหตุแล้วย่อมเกิดผล เมื่อเหตุไม่ดับแล้วผลจะดับได้อย่างไร

จนถึงวันนี้ ระดับน้ำที่ล้นทะลักเข้ามายังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง กลับจะเพิ่มมากขึ้น และจะเพิ่มไปอีกหลายวัน ให้คนกรุงได้ล่องเรือเล่นกลางกรุง และให้ชาววังหลังได้มีตลาดน้ำกับเขาบ้าง ไม่ต้องดิ้นรนไปถึงตลาดน้ำที่ดำเนินสะดวกหรือที่อัมพวา

...


ท่าพระจันทร์
...

มีใครสังเกตบ้างไหมว่า นี่เป็นกฎธรรมชาติที่ธรรมดามากที่สุด คือ "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด" เมื่อมีเหตุย่อมเกิดผล หากไม่ต้องการให้เกิดผลก็ต้องดับกันที่เหตุจึงจะเหมาะสมที่สุด

น้ำท่วม เกิดจากเหตุคือน้ำ แต่เหตุของน้ำท่วมในตอนนี้เกินกำลังของเราที่จะหักห้ามได้ เพราะเป็นผลรวมจากการกระทำของเรานับเนื่องมาหลายร้อยปี ธรรมชาติรองรับการกระทำอันเลวร้ายของเรามามากเกินกว่าที่เราจะต่อรองเรียกร้องสิ่งใดได้

ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความให้เรางอมืองอเท้าไม่ยอมแก้ไข, ตรงกันข้าม ความรุนแรงของภัยธรรมชาติย่อมย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ควรที่มีต่อธรรมชาตินั้น เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากธรรมชาติแปรปรวนก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องร่วมกันแก้ไข ไม่ใช่กล่าวโทษ กล่าวว่าเทวดาฟ้าดิน

ไม่เฉพาะแต่เรื่องน้ำท่วมเท่านั้น แม้เรื่องอื่นๆ ในชีวิตของเราก็ตกอยู่ในกฎธรรมชาติข้อนี้เหมือนกัน 

...



...

น้ำท่วมคือความทุกข์ เป็นเหมือนภัยพิบัติที่ถาโถมเข้าสู่ใจของเราโดยที่เราไม่ต้องการ และไม่ทันเตรียมตัวตั้งรับ; พอน้ำบ่าทะลัก เราก็จมหายไปในห้วงแห่งความทุกข์นั้น

ทั้งที่เรารู้ดีว่า เหตุแห่งทุกข์ คือ ความเจ็บช้ำที่ปะทุซ้ำในใจ เกิดจากการปรุงแต่งยึดติดของเราเอง เราอาจฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งมากพอที่จะผ่อนคลายความเจ็บช้ำนั้นลงไปได้ ไม่เหมือนกับพายุฝนที่เกินกำลังของเรา ภาพในจิตใจนั้นเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง จึงมีแต่เราเท่านั้นที่จะลบภาพร้ายนั้นไปได้

ถ้ามัวแต่คิดซ้ำๆ ถึงความเจ็บช้ำ ความทุกข์ก็ยิ่งท่วมสูงมากขึ้นทุกที เหมือนกับฝนที่ตกมาไม่หยุด แต่ทันทีที่เราได้นั่งพัก แล้วมองหาเหตุของความเจ็บช้ำ ค่อยแก้ไขมันลงไปทีละเปราะ ความทุกข์ร้อนย่อมผ่อนคลายลงไป ฝนที่เคยตกย่อมหยุดลง และระดับน้ำที่เคยท่วมใจก็จะลดน้อยไปเช่นกัน

เราไม่ได้เจอน้ำท่วมกันทุกวัน จะไม่ทันระวังก็ไม่แปลก; ความทุกข์ก็เหมือนกัน ไม่บ่อยหรอกที่เราจะเจอกับความทุกข์จนถึงกับท้อถอย เพียงแต่ทุกครั้งที่เจอ เราต้องเรียนรู้จากมัน ให้ความทุกข์เป็นเสมือนแบบฝึกหัดให้กับใจของเราเอง ถ้าเราหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ ใจของเราย่อมเข้มแข็ง ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเจอความเจ็บช้ำที่หนักหนาเพียงไร ผลจากการฝึกฝนย่อมเตรียมใจเรามาแล้วเป็นอย่างดี

บอกอย่างนี้อาจดูเหมือนง่าย แท้จริงแล้วไม่ง่าย แต่ไม่ยากเกินความพยายาม

...


...

น้ำท่วมครั้งนี้อาจยังคงรุนแรงต่อเนื่องไปอีกหลายวัน จนกว่าธรรมชาติจะยอมยกโทษให้กับพวกเรา ยอมอภัยให้กับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เราได้กระทำลงไป

แต่ความทุกข์ความเจ็บช้ำในใจของเราอาจหยุดลงได้ในทันที ขอเพียงแต่เราตั้งสติ มองหาเหตุของความเจ็บช้ำด้วยใจที่ผ่อนคลาย แล้วแก้ไขไปทีละเปราะ ปัญหาที่เคยหนักย่อมจะคลี่คลายไปในที่สุด

อาจจะเหนื่อยอยู่บ้างในตอนแรก แต่คงจะดีกว่านั่งฟูมฟาย แต่กลับไม่ได้แก้ไขอะไรเลย

...

...

ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

...

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ