Pages

Monday, October 24, 2011

๑๓๖. เราจะก้าวไปด้วยกัน



ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วัน ปริมาณน้ำที่ไหลบ่าลงมาจากทางเหนือรวมตัวกับน้ำฝนที่ตกกระหน่ำซ้ำเติมอยู่ทุกวัน พร้อมใจกันหนุนให้ระดับน้ำในกรุงเทพฯ เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ พื้นที่ส่วนหนึ่งจมอยู่ใต้บาดาล บางแห่งตกอยู่ในวงล้อม และอีกหลายแห่งที่เฝ้าคอยปาฏิหาริย์ เพราะระดับน้ำพร้อมจะเอ่อท้นแนวกระสอบทรายเข้ามาได้ทุกเมื่อ จนหลายครอบครัวต้องเร่งอพยพกันจ้าละหวั่น

ใช่ว่าคนกรุงเทพฯ จะไม่เคยรู้จักน้ำท่วม ตรงข้ามกลับคุ้นเคยกับมันดี แต่การที่ “มวลน้ำมหาศาล” เคลื่อนที่ลงมารวดเร็วเช่นนี้ ไม่ว่าจะคุ้นเคยสักเพียงไรก็คงเตรียมตัวตั้งรับกันไม่ทัน ยิ่งถ้าการส่งข่าวติดขัดสับสนด้วยแล้วก็เป็นอันจบ

เมื่อไม่ทันระวังตัว เตรียมตัวรับมือกับมวลน้ำครั้งนี้ไม่ทัน – ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม - ความสูญเสียเล็กน้อยที่เคยคาดการณ์เอาไว้ จึงกลับเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อมูลข่าวสารและการเตรียมตัวถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เฉพาะแต่กับเรื่องน้ำท่วมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงภัยพิบัติอื่นๆ หรือแม้แต่ความเดือดร้อนภายในใจของเราเอง หากเราหมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอ พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและหาทางตั้งรับเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ผลจากภัยพิบัติเหล่านั้นย่อมบรรเทาเบาบางลงไปได้พอสมควร

แต่มีข้อแม้ว่า ข่าวสารนั้นต้องถูกต้อง และเราต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา

...



ระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อท้นเข้ามาในรั้วโรงพยาบาลศิริราช
ในขณะที่นักเรียนแพทย์ และประชาชนผู้มีจิตอาสา
ช่วยกันต่อเติมแนวรั้วกั้นน้ำให้สูงขึ้น
 ภาพโดย Natpakorn Gik Pothong

...

ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่าง ซึ่งกลายเป็นข้อขัดแย้งทางความคิดและการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนหนึ่งดึงเหตุอุทกภัยในครั้งนี้มาเป็นเครื่องมือ เร่งเร้าความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพียงเพื่อหวังจะบรรลุความต้องการทางการเมืองของตน

ภาพความล้มเหลวในการทำงานของฝ่ายหนึ่งถูกส่งต่อพร้อมกับถ้อยคำรุนแรง ในขณะที่อีกฝ่ายก็โต้กลับด้วยความเกี้ยวกราดไม่แพ้กัน พื้นที่เครือข่ายสังคม (social network) ได้กลายสภาพเป็นสนามประลองความคิด หรือสนามวาทกรรม (discursive field) โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การช่วงชิงอำนาจนำ (hagemony) ทางการเมืองเหนือการรับรู้ของประชาชน

ตลอดระยะเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นการต่อสู้เหล่านี้กระจายอยู่ทั่วไป – ไม่นับปรากฏการณ์ปลาไหล – ผ่านการส่งต่ออย่างมีสติบ้าง ไร้สติบ้าง อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง ตามมาด้วยวิวาทะอันเกรี้ยวกราดเผ็ดร้อน ซึ่งต่างฝ่ายต่างประโคมความผิดเข้าใส่กัน

ที่ร้ายกว่านั้น คือ จงใจใส่ความกันด้วยภาพและข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

ไม่ใช่ว่าทุกฝ่ายที่ทำงานจะถูกต้องไปเสียหมด ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อรู้ว่าผิด มีคนแนะนำอย่างไรก็นำกลับไปพิจารณาปรับปรุงให้ดีขึ้น ทุกอย่างย่อมคลี่คลายไปในทางที่ดี แต่หากทำในทางกลับกัน หรือมัวแต่ให้ร้ายกันอยู่อย่างนี้ก็มีแต่จะพากันจมน้ำเท่านั้นเอง

...


นักเรียนแพทย์ศิริราช ร่วมกันบรรจุถุงหิน/ถุงปูน 
เพื่อนำไปสร้างแนวรั้วกั้นน้ำรอบโรงพยาบาลศิริราช
ภาพโดย Natpakorn Gik Pothong
(สารภาพว่าเมื่อเห็นภาพนี้ และได้อยู่ในบรรยากาศนี้ ผมน้ำตาซึมทุกครั้ง)

...

โลกและสังคมอาจเคลื่อนที่เร็วจนเกินไป จิตใจของคนถูกออกแบบมาให้เรียนรู้เรื่องราวรอบตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เชื่องช้าแต่ซึมลึก ครั้นเมื่อสิ่งต่างๆ กลับเปลี่ยนแปลงไปเร็วไวเช่นนี้ จิตใจย่อมตามไม่ทัน จึงแสดงตนเหมือนคนที่เหนื่อยล้า และพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะวิ่งตามให้ทัน ไม่ว่าด้วยกลวิธีใดก็ตาม

อำนาจก็เช่นกัน เติบโตไปพร้อมกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง ความหอมหวานของอำนาจทางการเมืองนั้นยั่วยวนใจเกินกว่าพันธะทางศีลธรรม คนกลุ่มหนึ่งจึงพร้อมจะทำทุกวิถีทาง ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเลว เพียงเพื่อจะกุมอำนาจทางการเมือง

ผมคงอ่อนด้อยต่อโลกใบนี้จนเกินไป จึงไม่เคยเข้าใจความปรารถนาเหล่านั้น บางทีพวกเขาอาจเห็นว่าเรายังเจ็บช้ำกันไม่พอ ยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดี อยากจะฝึกฝนให้เราอดทนต่อการแบ่งแยกแบ่งสี มีขันติธรรมต่อความความผิดและความขัดแย้งในสังคมกระมัง

ภูมิคุ้มกันนั้นสำคัญเมื่อมีสิ่งชั่วร้าย อย่างในคนเราก็มีภูมิคุ้มกันเพื่อคอยทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย แต่นั่นเป็นเพราะการขยายพันธุ์ของเชื้อโรคอยู่เหนือการควบคุมของเรา เราจึงทำได้แค่เพียงตั้งรับ แต่กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นไม่เหมือนกัน สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ล้วนแต่คนในสังคมเป็นผู้สร้าง ผู้ที่จะหยุดความชั่วร้ายได้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น คือตัวคนในสังคมนั้นเอง

หากความชั่วร้ายยังคงอยู่ เราคงต้องยอมเจ็บช้ำมหาศาลเพียงเพื่อจะสร้างภูมิคุ้มกันอันน้อยนิด และอาจต้องคอยกระตุ้นซ้ำอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันยังคงอยู่ แต่หากเรากำจัดเหตุแห่งความชั่วร้ายไปเสียได้ จะต้องกระตุ้นภูมิคุ้มกันไปด้วยเหตุใด

...


ประชาชนผู้มีจิตอาสา รวมตัวกัน ณ ลานพระรูปฯ โดยไม่แบ่งแยกแบ่งสี
เพื่อร่วมกันสร้างแนวรั้วกั้นน้ำรอบโรงพยาบาลศิริราช
ภาพโดย Pinit Asavanuchit

...

เพียงแค่น้ำท่วม คนไทยก็เจ็บช้ำมากพออยู่แล้ว อย่าได้ดึงเอาเหตุแห่งความทุกข์มาซ้ำเติมกันด้วยความขัดแย้งอีกเลย ขอให้ถือเอาความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นแทนบทเรียนให้เรียนรู้ที่จะสมานสามัคคี ร่วมมือกันต่อสู้แก้ไขปัญหา น่าจะเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ดีกว่าต่างฝ่ายต่างคอยจับผิดกัน แต่กลับไม่มีฝ่ายใดทำประโยชน์อะไรได้เลย

ความร่วมมือไม่ใช่ความพ่ายแพ้ ตรงกันข้ามกลับเป็นการเอาชนะความหวาดกลัวที่อยู่ภายในจิตใจของเราอย่างแท้จริง เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจซึ่งกันและกัน ได้มองเห็นโลกที่กว้างใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม

บางทีเราอาจจะพบว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นแท้จริงแล้วมีอะไรเลย เป็นเพียงแค่มายาคติที่เราคิดกันไปเองทั้งนั้น

...


ชาวต่างชาติพร้อมใจ เราคนไทยต้องช่วยกัน
ณ โรงพยาบาลศิริราช
ภาพโดย Pinit Asavanuchit

...

ขอบคุณ ภาพประกอบจากเฟซบุ๊คของน้องกิ๊ก และเพจ sirirajpr

...

เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ


No comments:

Post a Comment