น้ำท่วมหนัก
ผู้คนแตกตื่น กลัวว่าน้ำจะทะลักเข้าท่วมบ้าน ต่างพากันกว้านซื้อข้าวของกักตุนไว้ยามฉุกเฉิน ร้านค้าหลายแห่งขายอาหาร ขนมขบเคี้ยวและของจำเป็นอื่นๆ จนหมดเกลี้ยง บางคนถึงกับยื้อแย่งกันเพื่อเป็นเจ้าของมาม่าเพียงห่อเดียว
ภัยพิบัติเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่มีใครอยากให้เกิด และไม่มีใครอยากจบชีวิตลงด้วยภัยพิบัตินั้น ทุกคนจึงดิ้นรนเพื่อ "ชีวิตของตนเอง" จนบ่อยครั้งกลับหลงลืมไปว่า นอกจากตัวเราเองแล้ว ยังมี "ชีวิตของคนอื่น" ที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน และประสบความทุกข์เช่นเดียวกับเรา
ภัยพิบัติเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่มีใครอยากให้เกิด และไม่มีใครอยากจบชีวิตลงด้วยภัยพิบัตินั้น ทุกคนจึงดิ้นรนเพื่อ "ชีวิตของตนเอง" จนบ่อยครั้งกลับหลงลืมไปว่า นอกจากตัวเราเองแล้ว ยังมี "ชีวิตของคนอื่น" ที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน และประสบความทุกข์เช่นเดียวกับเรา
ชีวิตตัวใครตัวมัน ทำให้สังคมคับแคบเกินกว่าจะอยู่ร่วมกันได้ เปรียบเสมือนห้องใหญ่ที่ถูกกั้นฝา ลดขนาดให้เล็กลงกว่าเดิม จนอาศัยอยู่ได้เพียงคนเดียว ห้องนั้นจึงอึดอัดและโดดเดี่ยว ขยับตัวก็ไม่ได้ จะหาคนคุยด้วยก็ไม่มี ท้ายที่สุดก็เฉาตายอยู่ในห้องเล็กๆ นั้นเอง
แต่แปลก, ทั้งที่รู้กันอย่างนี้แล้ว เพราะอะไรหลายคนจึงพยายามกั้นฝากั้นห้องกันอีก ?
...
...
ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเอ่อท่วมทั้งท่าพระจันทร์ ท่าช้าง และท่าอื่นๆ โดยรอบ ไม่เว้นแม้แต่ท่าวังหลังซึ่งอยู่สูงกว่า จนตลาดวังหลังกลายเป็นตลาดน้ำไปเสียแล้ว
แม้ว่าระดับน้ำจะสูงมากกว่าทุกปี แต่ดูเหมือนว่าจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำเหนือที่ไหลบ่า จากพายุที่โหมกระหน่ำ และจากฝนที่ตกซ้ำๆ ไม่เว้นแต่ละวัน
เมื่อต้นเหตุของน้ำ คือ พายุฝน ยังไม่อ่อนกำลังลง แต่กลับโถมกระหน่ำอยู่ซ้ำๆ จะคาดหวังให้น้ำที่ล้นทะลักนั้นลดน้อยลงคงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเมื่อมีเหตุแล้วย่อมเกิดผล เมื่อเหตุไม่ดับแล้วผลจะดับได้อย่างไร
จนถึงวันนี้ ระดับน้ำที่ล้นทะลักเข้ามายังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง กลับจะเพิ่มมากขึ้น และจะเพิ่มไปอีกหลายวัน ให้คนกรุงได้ล่องเรือเล่นกลางกรุง และให้ชาววังหลังได้มีตลาดน้ำกับเขาบ้าง ไม่ต้องดิ้นรนไปถึงตลาดน้ำที่ดำเนินสะดวกหรือที่อัมพวา
...
ท่าพระจันทร์
...
มีใครสังเกตบ้างไหมว่า นี่เป็นกฎธรรมชาติที่ธรรมดามากที่สุด คือ "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด" เมื่อมีเหตุย่อมเกิดผล หากไม่ต้องการให้เกิดผลก็ต้องดับกันที่เหตุจึงจะเหมาะสมที่สุด
น้ำท่วม เกิดจากเหตุคือน้ำ แต่เหตุของน้ำท่วมในตอนนี้เกินกำลังของเราที่จะหักห้ามได้ เพราะเป็นผลรวมจากการกระทำของเรานับเนื่องมาหลายร้อยปี ธรรมชาติรองรับการกระทำอันเลวร้ายของเรามามากเกินกว่าที่เราจะต่อรองเรียกร้องสิ่งใดได้
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความให้เรางอมืองอเท้าไม่ยอมแก้ไข, ตรงกันข้าม ความรุนแรงของภัยธรรมชาติย่อมย้ำเตือนให้เราตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ควรที่มีต่อธรรมชาตินั้น เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากธรรมชาติแปรปรวนก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องร่วมกันแก้ไข ไม่ใช่กล่าวโทษ กล่าวว่าเทวดาฟ้าดิน
ไม่เฉพาะแต่เรื่องน้ำท่วมเท่านั้น แม้เรื่องอื่นๆ ในชีวิตของเราก็ตกอยู่ในกฎธรรมชาติข้อนี้เหมือนกัน
...
น้ำท่วมคือความทุกข์ เป็นเหมือนภัยพิบัติที่ถาโถมเข้าสู่ใจของเราโดยที่เราไม่ต้องการ และไม่ทันเตรียมตัวตั้งรับ; พอน้ำบ่าทะลัก เราก็จมหายไปในห้วงแห่งความทุกข์นั้น
ทั้งที่เรารู้ดีว่า เหตุแห่งทุกข์ คือ ความเจ็บช้ำที่ปะทุซ้ำในใจ เกิดจากการปรุงแต่งยึดติดของเราเอง เราอาจฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งมากพอที่จะผ่อนคลายความเจ็บช้ำนั้นลงไปได้ ไม่เหมือนกับพายุฝนที่เกินกำลังของเรา ภาพในจิตใจนั้นเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง จึงมีแต่เราเท่านั้นที่จะลบภาพร้ายนั้นไปได้
ถ้ามัวแต่คิดซ้ำๆ ถึงความเจ็บช้ำ ความทุกข์ก็ยิ่งท่วมสูงมากขึ้นทุกที เหมือนกับฝนที่ตกมาไม่หยุด แต่ทันทีที่เราได้นั่งพัก แล้วมองหาเหตุของความเจ็บช้ำ ค่อยแก้ไขมันลงไปทีละเปราะ ความทุกข์ร้อนย่อมผ่อนคลายลงไป ฝนที่เคยตกย่อมหยุดลง และระดับน้ำที่เคยท่วมใจก็จะลดน้อยไปเช่นกัน
ทั้งที่เรารู้ดีว่า เหตุแห่งทุกข์ คือ ความเจ็บช้ำที่ปะทุซ้ำในใจ เกิดจากการปรุงแต่งยึดติดของเราเอง เราอาจฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งมากพอที่จะผ่อนคลายความเจ็บช้ำนั้นลงไปได้ ไม่เหมือนกับพายุฝนที่เกินกำลังของเรา ภาพในจิตใจนั้นเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง จึงมีแต่เราเท่านั้นที่จะลบภาพร้ายนั้นไปได้
ถ้ามัวแต่คิดซ้ำๆ ถึงความเจ็บช้ำ ความทุกข์ก็ยิ่งท่วมสูงมากขึ้นทุกที เหมือนกับฝนที่ตกมาไม่หยุด แต่ทันทีที่เราได้นั่งพัก แล้วมองหาเหตุของความเจ็บช้ำ ค่อยแก้ไขมันลงไปทีละเปราะ ความทุกข์ร้อนย่อมผ่อนคลายลงไป ฝนที่เคยตกย่อมหยุดลง และระดับน้ำที่เคยท่วมใจก็จะลดน้อยไปเช่นกัน
เราไม่ได้เจอน้ำท่วมกันทุกวัน จะไม่ทันระวังก็ไม่แปลก; ความทุกข์ก็เหมือนกัน ไม่บ่อยหรอกที่เราจะเจอกับความทุกข์จนถึงกับท้อถอย เพียงแต่ทุกครั้งที่เจอ เราต้องเรียนรู้จากมัน ให้ความทุกข์เป็นเสมือนแบบฝึกหัดให้กับใจของเราเอง ถ้าเราหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ ใจของเราย่อมเข้มแข็ง ไม่ว่าในอนาคตจะต้องเจอความเจ็บช้ำที่หนักหนาเพียงไร ผลจากการฝึกฝนย่อมเตรียมใจเรามาแล้วเป็นอย่างดี
บอกอย่างนี้อาจดูเหมือนง่าย แท้จริงแล้วไม่ง่าย แต่ไม่ยากเกินความพยายาม
บอกอย่างนี้อาจดูเหมือนง่าย แท้จริงแล้วไม่ง่าย แต่ไม่ยากเกินความพยายาม
...
...
น้ำท่วมครั้งนี้อาจยังคงรุนแรงต่อเนื่องไปอีกหลายวัน จนกว่าธรรมชาติจะยอมยกโทษให้กับพวกเรา ยอมอภัยให้กับสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เราได้กระทำลงไป
แต่ความทุกข์ความเจ็บช้ำในใจของเราอาจหยุดลงได้ในทันที ขอเพียงแต่เราตั้งสติ มองหาเหตุของความเจ็บช้ำด้วยใจที่ผ่อนคลาย แล้วแก้ไขไปทีละเปราะ ปัญหาที่เคยหนักย่อมจะคลี่คลายไปในที่สุด
อาจจะเหนื่อยอยู่บ้างในตอนแรก แต่คงจะดีกว่านั่งฟูมฟาย แต่กลับไม่ได้แก้ไขอะไรเลย
อาจจะเหนื่อยอยู่บ้างในตอนแรก แต่คงจะดีกว่านั่งฟูมฟาย แต่กลับไม่ได้แก้ไขอะไรเลย
...
...
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
...
เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ
เพียงถ้อยคำธรรมดา ที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
ขอบคุณสำหรับทุก comment ครับ
No comments:
Post a Comment